IOT (Internet of Things) คืออะไร
IOT (Internet of Things) ถ้าแปลตรงตัวจะหมายถึง ทุกอย่างล้วนแต่เชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต ถ้าให้อธิบายเพิ่ม ก็คือ การที่อุปกรณ์ทุกอย่างสามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้เราสามารถสั่งงานให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เช่น การสั่งให้เปิด-ปิดไฟ ภายในบ้าน, การสั่งพิมพ์เอกสารเข้าไปที่เครื่องปริ้นเตอร์ของบริษัทแม้เราจะอยู่ต่างประเทศ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการสั่งการผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น
อุปกรณ์ IOT หรือที่เราเรียกกันว่า Smart Devices เป็นอุปกรณ์ที่มี เซนเซอร์ (Sensor) ตรวจจับ sหรือรับและปล่อยสัญญาณของข้อมูลไปยังระบบ Cloud ผ่าน Bluetooth, สัญญาณ Wi-Fi, สัญญาณดาวเทียม, สัญญาณมือถือ หรือเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยตรง เมื่ออุปกรณ์ IOT ได้รับข้อมูลแล้ว ซอฟต์แวร์จะทำการประมวลผลสิ่งที่ได้รับและแสดงผลออกมาด้วยการดำเนินการต่างๆ ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่มีชื่อเรียกขึ้นต้นด้วยคำว่า Smart มักจะเป็นอุปกรณ์ IOT สุดล้ำ อาทิ Smart Car, Smart Card, Smart TV นอกจากนี้ Smart ยังถูกใช้เรียกระบบที่นำอุปกรณ์ IOT มาใช้งาน เช่น Smart Home, Smart Office เป็นต้น
ความหมายของแนวคิด Smart Office
แนวคิด Smart Office อาจมีหลากหลาย แต่โดยรวมแล้วคือการออกแบบออฟฟิศให้ตอบสนองต่อพฤติกรรมการทำงานในปัจจุบัน เพื่อผลักดันให้พนักงานได้ทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลงเพื่อนำงบไปใช้ในการพัฒนาด้านอื่นของสำนักงาน โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยี IOT เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้ทุกคนสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้นผ่านการควบคุมเพียงปลายนิ้วสัมผัส
ยกระดับให้ออฟฟิศอัจฉริยะขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
เทคโนโลยี IOT ที่นิยมใช้กันใน Smart Office ได้แก่
1.Intelligent Control Solution
ระบบเปิด-ปิด อุปกรณ์ไฟฟ้าอัตโนมัติ เมื่อไม่มีคนอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ระบบควบคุมแสงสว่าง (Lighting Automation Control) ที่ใช้ในการเปิดปิดไฟ หรือควบคุมความสว่างของแสงที่ส่อง, ระบบควบคุมการเปิดปิดโปรเจคเตอร์, ระบบควบคุมการเปิดปิดเครื่องปรับอากาศ ใช้สั่งการเปิดปิดเครื่องปรับอากาศภายในห้องที่ไม่ถูกใช้งาน ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายหลักของสำนักงานได้ โดยการสั่งการผ่านแอปพลิเคชันแยกกันแต่ละส่วน หรือสั่งการผ่านระบบสำนักงานอัจฉริยะ ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถดูแลจัดการได้ทุกอย่างภายในแต่ละห้อง
2. Smart Booking System
ระบบจองห้องประชุม (Meeting Room Booking System) ระบบที่ใช้ในการจองห้องประชุมแบบออนไลน์ พนักงานสามารถดูตารางการใช้ห้องและเลือกจองห้อง วันและเวลาที่ต้องการใช้ได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ในสำนักงานบางแห่งที่ลดการเข้าออฟฟิศของพนักงานลง หรือยกเลิกการมีโต๊ะประจำออฟฟิศ จะมีระบบจองโต๊ะทำงาน (Desk Booking System) ที่ให้พนักงานจองโต๊ะทำงานของส่วนกลางที่ต้องการใช้งานในวันที่เข้าออฟฟิศได้
3. Smart HR
ระบบสำคัญที่เป็นหัวใจสำคัญในการทำงาน ระบบบันทึกเวลาเข้าออกของพนักงาน ที่เชื่อมต่อเข้ากับ HR Software ที่ให้พนักงานสามารถบันทึกเวลาเข้าออก การขอลางาน การเบิกค่าล่วงเวลา การขออนุมัติค่าใช้จ่าย ฯลฯ ผ่านระบบบนมือถือได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งทำให้การทำงานของพนักงานและฝ่ายบุคคลทำงานได้สะดวกและง่ายขึ้น เพราะสามารถบันทึกเวลาทำงานได้แม้อยู่ในช่วง Work from Home สามารถแจ้งลางานได้ผ่านมือถือ รวมถึงส่งแจ้งสลิปเงินเดือนผ่านระบบออนไลน์ได้
ข้อดีของการยกระดับให้เป็น Smart Office
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย ช่วยอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนยุ่งยาก ให้พนักงานสามารถโฟกัสที่การทำงานได้อย่างเต็มที่ และสามารถติดต่อประสานงานได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัวมากยิ่งขึ้น
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายของสำนักงาน และประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่ายในการทำเอกสาร อาทิ การออกสลิปเงินเดือน Online แทนกระดาษ เป็นต้น
- สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน ช่วยให้พนักงานมี Life-Balance ระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น
การสร้าง Smart Office ไม่ใช่การมุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีสุดล้ำ แต่เป็นการเลือกใช้เทคโนโลยี IOT เข้ามาช่วยในการจัดการสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบบันทึกเวลาเข้าออกของพนักงาน ที่ช่วยให้พนักงานสามารถบันทึกเวลาทำงานได้แม้เป็น WFH ระบบโปรแกรม HR Software ที่เข้ามาช่วยในการดูแลการทำเงินเดือนแบบออนไลน์ ระบบควบคุม Control System ที่เข้ามาช่วยบันทึกข้อมูลและควบคุมการเข้าออกอาคาร ซึ่ง Tigersoft ซอฟต์แวร์เฮ้าส์ของคนไทย 100% ที่ให้บริการซอฟต์แวร์บริหารงานบุคคล พร้อมทั้งอุปกรณ์ IOT สำหรับ Smart Office ที่ใช้งานง่าย ตอบได้ทุกโจทย์ความต้องการของธุรกิจ